ปัญหาของอุปกรณ์ IoT และคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับ Shadow IT
เทคโนโลยีการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เข้ากับอินเตอร์เน็ตหรือ IoT ได้รับความนิยมแพร่หลายมากขึ้น หลายคนมีลำโพงอัจฉริยะที่สามารถพูดคุยตอบโต้ได้ไว้ใช้ในบ้าน บางคนถึงขั้นมีตู้เย็น เครื่องซักผ้า และอุปกรณ์อื่นๆ อีกมากมายที่เชื่อมต่อกับ Wi-Fi ใช้ จนราวกับว่าสักวันหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านจะเชื่อมต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ตทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม
บางคนอาจมองว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยเปลี่ยนชีวิตให้สะดวกสบายไปหมด จะสั่งให้เครื่องซักผ้าเริ่มทำงานจากที่ออฟฟิศหรือปรับอุณหภูมิที่บ้านผ่านเทอร์โมสตัทอัจฉริยะไว้ล่วงหน้าขณะกำลังเดินทางกลับก็ได้ แต่ก็ต้องทราบสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งไว้ว่า IoT เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มากและยังมีปัญหาบางอย่างที่ต้องคำนึงถึงอยู่
อุปกรณ์ยังทำงานร่วมกันได้ไม่ดี
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของ IoT ในตอนนี้อาจเป็นเรื่องที่เทคโนโลยีนี้ยังใหม่มากเสียจนบริษัทต่างๆ ยังคงแย่งพื้นที่การตลาดกันอย่างดุเดือด เช่น Amazon บุกเข้ามาในตลาดนี้เป็นรายแรกๆ ด้วยลำโพงอัจฉริยะ Echo แล้วจากนั้นไม่นานก็ตัดสินใจว่าเพื่อให้การลงทุนคุ้มค่าจะต้องครองตลาดให้มากกว่านี้ จึงทุ่มทุนอีก 1 พันล้านดอลลาร์ไปกับ Ring เพื่อบุกตลาดกริ่งประตูแบบ IoT และยังลงทุนก้อนใหญ่ไปกับบริษัทเทอร์โมสตัทอัจฉริยะ Ecobee อีกด้วย
ซึ่งนี่คือบริษัท Amazon ที่กีดกันไม่ยอมขายผลิตภัณฑ์ของ Apple เป็นเวลาหลายปี จนมายอมโดยแลกกับข้อตกลงว่าต้องให้พวกเขาขายภาพยนต์ใน Prime Video ผ่านทางแอพ iOS ได้
ในขณะเดียวกัน Apple และ Google ก็ไม่อยากให้ Echo ยึดพื้นที่เข้าไปทุกบ้าน และอยากให้ทุกคนหันมาใช้ลำโพง HomePods หรือ Nest ของตนมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นการสนับสนุนซึ่งกันและกันข้ามแบรนด์ก็ไม่ค่อยจะได้เรื่องสักเท่าไร ซึ่งนี่เป็นปัญหาที่ถ่วง IoT ไว้ในขณะที่เทคโนโลยีอื่นๆ กำลังพัฒนาไปข้างหน้า
ปัญหาด้านซอฟต์แวร์
มีข่าวลือหนาหูอยู่ตลอดว่ามีคนถูกแฮ็คเว็บแคมออนไลน์แล้วโดนแอบดูจากทางไกล ทำให้หลายคนเป็นห่วงว่าการที่อุปกรณ์เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตจะทำให้คนอื่นลักลอบเข้ามาควบคุมอุปกรณ์ได้ ซึ่งปัญหานี้ก็เกิดจากการที่ตลาดยังใหม่อยู่เช่นกัน จึงยังไม่มีใครคิดค้นวิธีรักษาความปลอดภัยที่สมบูรณ์แบบได้
กล่าวโดยรวมได้ว่าซอฟต์แวร์ที่ไม่ดีเป็นตัวสร้างปัญหาให้กับผู้บริโภครวมไปถึงหน่วยงานธุรกิจด้วย เช่น อาจมีใครลักลอบเข้าไปสั่งงานให้เครื่องซักผ้า IoT ทำงานเต็มกำลังตลอดทั้งวันได้ ทำให้เจ้าของเครื่องซักผ้าต้องเสียเงินโดยใช่เหตุ โชคดีที่ยุคนี้ผู้คนมีความตระหนักรู้ด้านการรักษาความปลอดภัยออนไลน์หลักๆ สูงกว่าที่เคยมีมาและยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ปัญหานี้จึงอาจหมดไปในเร็ววัน
เครื่องใช้ต่างๆ จะตกรุ่นอย่างรวดเร็ว
IoT เป็นเรื่องใหม่เสียจนกระทั่งแบรนด์ใหญ่ๆ ก็ยังอยู่ในช่วงลองผิดลองถูก เช่น Amazon ออกลำโพงอัจฉริยะรุ่นปรับปรุงใหม่ออกมาถี่มาก แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ย่อมดีกว่ารุ่นก่อนหน้า แต่ผู้บริโภคก็ยังทำใจลำบากว่าตนเองต้องเปลี่ยน “เฟอร์นิเจอร์” บ่อยๆ ไม่ให้ตกรุ่นเหมือนเปลี่ยนโทรศัพท์จริงๆ หรือ
เป็นโชคไม่ดีของผู้บริโภคที่บริษัทต่างๆ อาจไม่มีวันสร้างผลิตภัณฑ์ IoT ที่ซื้อครั้งเดียวจบ จึงต้องทำใจเผื่อไว้ว่าอาจจำเป็นต้องอัพเกรดอุปกรณ์เหล่านี้เป็นประจำ
ข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัว
เรามายกตัวอย่างลำโพงอัจฉริยะกันอีกครั้ง ผู้ผลิตอ้างว่าลำโพงไม่ได้ฟังเสียงทุกอย่างตลอดเวลา แต่ก็รอฟังคำสั่งเริ่มใช้งานอยู่ตลอด ซึ่งก็ไม่มีอะไรยืนยันว่าลำโพงจะไม่รับฟังเสียงไปมากเกินกว่าการทำงานที่บอกไว้ แล้วก็อาจกลายเป็นช่องให้อาชญากรเจาะเข้ามาแอบฟังบทสนทนาของคุณได้
อุปกรณ์ IoT ทำงานโดยใช้ไมโครโฟน กล้อง และเซ็นเซอร์ ซึ่งในตอนนี้ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอุปกรณ์เหล่านี้เก็บข้อมูลอะไรไปและเมื่อไรบ้าง ปัจจัยส่วนหนึ่งที่จะทำให้เทคโนโลยีนี้ก้าวหน้าไปได้ ก็คือผู้ผลิตต้องทำให้ผู้บริโภคไว้วางใจ แต่จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาก็ชวนให้ผู้บริโภคไว้ใจไม่ลงอยู่พอสมควร
ปัญหาด้านขนาดโครงสร้างพื้นฐาน
หลายคนกังวลว่าโลกของเรามีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมสำหรับใช้งาน IoT แล้วจริงๆ หรือ เพราะเมื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่างในบ้านใช้งานสัญญาณอินเตอร์เน็ตกันหมด ก็ทำให้แบนด์วิดธ์ถูกดึงไปเยอะมากจนแทบไม่พอใช้ แม้กระทั่งในประเทศที่อินเตอร์เน็ตมีความเร็วสูงมากก็ตาม
ในบางมุมของโลก การพัฒนาให้เครื่องใช้ในบ้านกลายเป็นแบบอัจฉริยะมีความก้าวหน้าแซงการพัฒนาความเร็วในการเชื่อมต่อของอินเตอร์เน็ตไปมาก ทำให้บางประเทศไม่มีอุปกรณ์เหล่านี้ใช้หรือต่อให้มีก็ดีสู้ประเทศอื่นๆ ไม่ได้
ปัญหาด้านทักษะของบุคลากร
ปัญหาสุดท้ายที่จะกล่าวถึงในบทความนี้คือปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเพราะ IoT ยังเป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างใหม่เช่นเดียวกัน อาจมองได้ว่านี่เป็นอุตสาหกรรมเกิดใหม่ที่ต้องการบุคลากรที่มีทักษะทั้งในด้านการเขียนโปรแกรม ด้านเทคโนโลยี ด้านความปลอดภัย และด้านอื่นๆ อีกมากมาย อุปกรณ์ส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการแค่ฮาร์ดแวร์พิเศษเท่านั้น แต่ยังต้องใช้พื้นที่จัดเก็บแบบคลาวด์ แอพโทรศัพท์ และเซ็นเซอร์เฉพาะทางอีกด้วย
อุตสาหกรรมนี้จึงถือว่าอยู่ในช่วงเพิ่งเริ่มต้น และบุคลากรที่มีทักษะหลายด้านซึ่งเป็นที่ต้องการก็หาได้ยาก แล้วยิ่งเมื่อหลายต่อหลายบริษัทพากันบุกเข้ามาในตลาดนี้ บุคลากรที่มีฝีมือจะมีมูลค่าสูงขึ้นและหายากขึ้นยิ่งไปกว่าเดิม
ว่าด้วย Shadow IT
ในขณะที่ผู้คนทำงานจากบ้านเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้พนักงานมีกิจวัตรประจำวันรูปแบบใหม่ และพนักงานเองก็พยายามค้นหาวิธีการทำงานใหม่ๆ ที่เหมาะกับตนอีกด้วย เมื่อมองจากมุมของผู้จ้างงานแล้วนี่อาจไม่ใช่ปัญหา ผู้จัดการส่วนใหญ่ยังชอบใจที่พนักงานของตนหาวิธีทำงานทดแทนการเข้าออฟฟิศได้เสียด้วยซ้ำ
แต่ทว่าบริษัทของคุณอาจประสบปัญหาจาก Shadow IT ได้ ชื่อนี้อาจฟังดูน่ากลัว ซึ่งปัญหาที่เกิดตามมาก็อาจน่ากลัวตามชื่อ แต่ความหมายของชื่อนี้ไม่ได้มีอะไรมาก เพราะนี่หมายถึงการที่พนักงานเข้าใช้งานฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการต่างๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากฝ่าย IT นั่นเอง พฤติกรรมนี้มีข้อดีที่ทำให้เกิดวิธีการใหม่ๆ และทำประสิทธิภาพการทำงานให้สูงขึ้นได้ แต่ก็อาจสร้างเรื่องปวดหัวให้กับผู้ที่ต้องดูแลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลและความสมบูรณ์ของเครือข่ายได้เช่นกัน
นี่คือคำแนะนำดีๆ ที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่า Shadow IT จะไม่สร้างปัญหาให้กับบริษัทของคุณ:
อบรมให้พนักงานทราบถึงอันตรายของ Shadow IT
ก่อนหน้านี้เราเคยอธิบายไปแล้วว่าปัญหาด้านความปลอดภัยที่บริษัทส่วนใหญ่ประสบมักเกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ น้อยครั้งนักที่พนักงานของคุณจะมีเจตนาไม่ดี บางคนอาจคิดว่าตัวเองกำลังช่วยเหลือบริษัทด้วยการหาวิธีการทำงานและหาช่องทางใหม่ๆ ในการก้าวข้ามอุปสรรคอยู่ แต่สุดท้ายก็ทำให้เกิดปัญหาขึ้นเพราะพวกเขาไม่ได้รู้อยู่เสมอว่าตัวเองกำลังทำอะไร ซึ่งคุณสามารถห้ามพวกเขาได้ด้วยการอธิบายให้ทราบถึงความเสี่ยงต่อข้อมูลที่อาจเกิดขึ้น และถ้าจะให้ดีกว่านั้นคุณควรรับปากกับพวกเขาว่าจะนำซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ที่พวกเขาต้องการใช้มาพิจารณาอย่างละเอียด เพื่อประเมินว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทหรือไม่
กำจัดซอฟต์แวร์ Shadow IT ออกจากเครือข่ายของคุณ
ถ้าหากวางระบบพื้นฐานไว้ดีแล้ว ฝ่าย IT ก็สามารถควบคุมเครือข่ายของบริษัทได้อย่างเต็มที่ เช่น ถ้ามีการกำหนดให้พนักงานต้องเชื่อมต่อเข้าเครือข่ายภายในผ่าน VPN เท่านั้น ก็จะสามารถบล็อกซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้รับอนุญาตได้อย่างง่ายดาย ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าองค์กรของคุณเก็บไฟล์สำหรับทำงานร่วมกันไว้ใน OneDrive ผ่านทาง Microsoft 365 ก็เพียงแค่ค้นหาบริการประเภทเดียวกันอย่าง DropBox และ Google Drive แล้วตั้งค่าให้ไม่สามารถใช้งานบริการเหล่านั้นในเครือข่ายของบริษัทได้ก็เรียบร้อย
ทำให้มั่นใจว่ามีการแชร์ข้อมูลกัน
หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิด Shadow IT ขึ้นคือการที่พนักงานไม่มีเครื่องมือที่ช่วยให้ทำงานได้สำเร็จใช้ หรือแค่ไม่ทราบว่ามีการจัดเตรียมเครื่องมือดังกล่าวไว้ให้แล้ว ปัญหานี้มักเกิดกับเรื่องพื้นที่จัดเก็บข้อมูล ดังที่เราได้เคยพูดถึงเรื่องนี้ไปแล้วว่าคุณอาจมีแพลตฟอร์มพื้นที่จัดเก็บเอกสารออนไลน์ที่เลือกใช้อยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นสิ่งจำเป็นที่คุณต้องมี เผื่อในกรณีที่เกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นกับพนักงาน คุณก็ยังมั่นใจได้ว่าคนอื่นจะเข้าถึงเอกสารของพนักงานคนดังกล่าวได้
คุณควรจัดสรรโฟลเดอร์สำหรับแชร์งานออนไลน์ให้กับพนักงานทุกคน และที่สำคัญคือต้องอบรมให้พนักงานทราบว่าควรใช้งานอย่างไรและควรจัดเก็บไฟล์ไว้ที่ไหน และถ้าจำเป็นก็ควรระบุชัดลงไปว่าห้ามไม่ให้ใครมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลสำคัญใดๆ ก็ตามของบริษัทได้เพียงคนเดียวโดยเด็ดขาด สนใจเรียนรู้เพิ่มเติม ตืดต่อเรา !